วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

การบูชาของฮินดูตามประเพณีที่ถูกต้องและเป็นพิธีการ จะต้องประกอบด้วยสองส่วนที่สำคัญ

กาลิทัส:
โดยปกตินั้น การบูชาของฮินดูตามประเพณีที่ถูกต้องและเป็นพิธีการ จะต้องประกอบด้วยสองส่วนที่สำคัญ 
1.ยชมาน ได้แก่ผู้เป็นเจ้าภาพหรือเป็นผู้กระทำขั้นตอนต่างๆของพิธีนั้นๆ ผู้เป็นยชมานจะได้บุญจากการประกอบพิธีนั้นครับ เพราะเป็นผู้บูชา
 
2.พราหมณ หมายถึง พราหมณ์ที่เราเชิญมาให้เป็นผู้สวดพระเวทตามขั้นตอนต่างๆ และอำนวยการพิธี ครับ ในประเพณีฮินดู แต่ละครอบครัวจะมี พราหมณ์ประจำครอบครัว เรียกว่า ปุโรหิตครับ 
ถ้าจะทำให้ถูกต้องจะต้องมีทั้งพราหมณ์และเราในฐานะผู้เป็นเจ้าภาพครับ แม้แต่พราหมณ์เองเมื่อจะประกอบพิธีที่สำคัญก็จะต้องเอาพราหมณ์อื่น มาสวดครับ 
ส่วนการ บูชา หรือ "ปูชา" นั้น มีหลายระดับ หลายแบบครับ เริ่มตั้งแต่ แบบง่ายๆ ไม่มกี่ขั้นตอน หรือเพียงแค่การไหว้เฉยๆ ไปจนถึงมีการใช้มนตร์ในพระเวทและประกอบด้วยขั้นตอนมากมายครับ จะลองนำเท่าที่จะเห็นว่าสามารถกระทำได้มาให้นะครับ 
การบูชาที่สามารถกระทำในบ้านเรือนนั้น หรือง่ายนั้น เรียกว่า ลฆุปูชา (บูชาเล็กน้อย) หรือหากทำเป็นประจำทุกวัน จะเรียกว่า ไทนิกปูชา ครับ การบูชาประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องเอามนตร์ในพระเวท หรือโศลกต่างๆมาใช้ในการบูชา แต่จะประกอบด้วยส่วนสำคัญง่ายๆ คือ 
1.มนตร์ของเทพที่เราทำการบูชานั้น ตามด้วย 
2.คำถวายบูชา หรือบอกว่าเรากำลังทำอะไรถวาย 
อาจเพิ่มบทสวดมนตร์ที่พอสวดได้ครับ 
ทั้งนี้ เวลาชาวอินเดียบูชาพระจะทำครั้งละองค์ครับ หรือถ้าบูชาหลายองค์ในเวลาเดียวกัน ก็ทำไปทีละองค์ครับ โดยต้องเริ่มที่พระคเณศก่อนเสมอ ไม่ว่าจะบูชาองค์ใดก็ตามจะต้องเริ่มที่พระคเณศก่อนเสมอครับ 
เวลา 
เรามักบูชาในช่วงเวลาสันธยา เช้ามืดและหัวค่ำครับ หรือเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ถ้าไม่สะดวกก็ตามเวลาที่สะดวกครับ 
แต่ถ้าไม่สะวกที่จะทำทุกขั้นตอน ก็ให้บูชาง่ายๆ ในแต่ละวัน ส่วนที่ขั้นตอนมากๆ ให้ทำในเวลาเทศกาลพิเศษหรือวันพิเศษสำหรับองค์นั้นครับ 
การเตรียมตัว 
ต้องอาบน้ำก่อนครับ หรืออย่างน้อยๆควรชำระมือเท้าปากให้สะอาดครับ ถ้าเป็นเทศกาลสำคัญควรทานมังสวิรัติหรือถือพรตอดอาหารและงดการเสพเมถุนธรรม เสื้อผ้าไม่ต้องขาวก็ได้ โดยปกติผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์จะไม่นุ่งโธตีแบบโจงกระเบนนะครับ แต่บางที่อาจให้นุ่งแบบผ้าถุงก็ได้ครับ 
1.เมื่อมายังที่บุชาให้ประพรมน้ำไปรอบๆตัว อธิษฐานให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาด 
2.จิบน้ำสามครั้ง(อาจมนมฺ) เอาน้ำใส่อุ้งมือขวาแล้วจิบจากโคนมือ 
สวดว่า ครั้งที่ 1 โอม เกศวาย นมะ 
2.ครั้ง 2 โอม นารายณาย นมะ 
3.ครั้ง 3 โอม มาธวาย นมะ 
แล้วล้างมือสวด โอม หฤษีเกศาย นมะ 
เจิม จันทน์ ที่หน้าผากเราเองใช้สีไหนก็ได้แดงส้ม เหลือง ถ้าไม่มีใช้น้ำเปล่าด้วยนิ้วนางขวา 
สำรวมใจรำลึกว่ากำลังจะบูชา ที่ไหน ว.ด.ป.เวลาใด ถวายใคร เราชื่ออะไร นี่เรียกว่า สังกัลปะ ปกติจะต้องเป็นสันสกฤต แต่อนุโลมตามแบบไทยๆ เอาดอกไม้ใส่มือขวา นึกเสร็จถวาย 
จากนั้นเริ่มการบูชา 
ให้สวดมนตร์ว่า(สวดถึงเทวดาทั้งหลาย พ่อแม่ครูอาจารย์) 
โอมศรีมันมหาคณาธิปตเย นมะ 
ลักษมีนารายณภยาม นมะ 
อุมามเหศวราภยาม นมะ 
หิรัณยคัรภาภยาม นมะ 
สถานเทวตาภโย นมะ 
กุลเทวตาภโย นมะ 
อิษฎเทวตาภโย นมะ 
สรเวภโย เทเวภโย นมะ 
สรเวภโย ศรีคุรุภโย นมะ 
สรเวภโยพราหมณมเณภโยนมะ 
มาตาปิตฤจรณกมเลภโย นมะ 
อวิฆนมัสตุ 
สวดมนร์ถึงพระคเณศซักบทใดบทหนึ่งก่อน(ถ้าบูชาองค์อื่นๆ)แล้วถวายดอกไม้ 
1.นำเทวรูปมา ทำการอันเชิญสวดว่า...... อาวาหยามิ 
2.ถวายที่นั่ง(ใช้เม็ดข้าวสารแทน) สวด ....... อสนัม สมรปยามิ 
3..นำมูรติของเทพมาตั้งในที่สมควร 
สรงด้วยน้ำสะอาด สวดว่า 
โอมฺ คํ คณปตเย นมะ(อ่านว่า โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ)สนานัม สะมะระปยามิ 
4.สรงด้วยนมสดสวดว่า 
โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ ปยะสนานนัม สะมะระปะยามิ 
5.สรงด้วยของ 5 อย่างผสมกันอย่างละนิด(เนย โยเกิร์ต นม น้ำผึ้ง น้ำตาล)สวดว่า โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ ปัญจามะริดตะ สนานนัมสะมะระปะยามิ 
6.จากนั้นสรงด้วยน้ำสะอาดอีกทีชำระล้าง เช็ด 
7.พรมด้วยน้ำอบน้ำหอม แต้มเจิมด้วยผงสีแดง(สินทูร) หรือแป้งกระแจะแบบไทยๆก็ได้ที่พระนลาฏ(หน้าผาก) 
สวดว่าโอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ คันธัม สะมะระปะยามิ 
8.ถวายเครื่องทรงถ้ามี สวดว่าโอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ วัสตะรัมสะมะระปะยามิ 
9.ถวายดอกไม้พวงมาลัย สวดว่าโอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ มาลาปุษปัมสมรปยามิ 
10.ถ้าเป็นพระคเณศ ถวายใบหญ้าแพรก สวดว่าโอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ ทูรวาปัตรัม สมรปยามิ 
เป็นพระศิวะถวายใบมะตูม สวดว่า บิลวะปัตรัม สมรปะยามิ 
พระนารายณ์ ถวายใบกระเพราแดง สวดว่า ตุลสีปัตรัม สมรปยามิ 
11.ถวายธูป(เอาวนๆขวาหน้าพระ 5 รอบ ธูป 5 ดอก) สวดว่า ธูปัม สะมะระปะยามิ 
11.ถวายอาหาร(ขนมลัฑฑู สำหรับพระคเณศ) หรือขนมที่ไม่มีไข่เจือปน หรือผลไม้ต่างๆ 
สวดว่า ไนเวดะยัม ผลานิ จะ สมรปะยามิ 
12.ถวายหมาก ถ้ามีสวดว่าโอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ ตามบูลัม สะมะระปะยามิ 
13.ถวายเงิน สวดว่า โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ 
ดักษิณา สะมะระปะยามิ(เอาเงินนี้ไปทำบุญ) 
14 เอาดอกไม้ใส่มืออธิษฐาน แล้วถวายดอกไม้นั้น 
15.อารตีถวาย 
สวดว่า โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ อารติกยัม สะมะระปะยามิ 
16.เอาดอกไม้ใส่มืออธิษฐานขอขมาและเชิญท่านกลับ สวดว่า โอม กัง กะนะปะตะเย นะมะฮะ วิสะระจะนัม สะมะระปะยามิ 
ประทักษิณ หมุนรอบตัวเองสามรอบ ก้มกราบลงสามครั้งเป็นอันเสร็จ สวดแผ่เมตตาว่า โอมฺ ศานติ ศานติ ศานติ หรือบท สฺรเว ภวันตุ สุขินะ...ฯลฯ 
ของที่บูชาเอามาแบ่งกันทานเป็นมงคล 
อันนี้ผมเขียนแบบคร่าวๆมากๆ คำอ่านก็ลองเขียนในแบบที่ท่านน่าจะเอาไปใช้ได้(ไม่ได้อิงการหลักถอดคำสันสกฤตมากนัก) 
เวลาถวายบูชาองค์อื่นๆ ก็แค่เปลี่ยนคำข้างหน้าเป็นมนตร์ของแต่ละองค์ 
มนตร์เทพต่างๆ ที่ใช้ในการถวาย 
1.พระคเณศ โอมฺ ศรี คเณศาย นมะ 
พระศิวะ โอม นมะ ศิวาย (อ่าวว่า โอม นะมัศ ฉิวายะ หรือ นะมฮะ ฉิวายะก็ได้) 
พระนารายณ์ โอมฺ นารายณาย นมะ หรือ โอม วิษฺณเว นมะ 
พระพรหม โอมฺ พฺรหฺมเณ นมะ 
พระแม่อุมาฯ โอมฺ อุมาไย นมะ หรือ โอมฺ อมฺพาไย นมะ 
พระแม่ลักษมี โอมฺ มหาลกฺษฺมไย นมะ 
พระแม่สรสฺวตี โอม มหาสรสฺวตฺไย นมะ 
พระขันธกุมาร โอมฺ สกนฺทาย นมะ หรือ โอมฺ เทวเสนาย นมะ 
พระกฤษณะ-ราธา โอมฺ ราธากฤษณาภยามฺ นมะ 
พระราม-สีตา โอมฺ สีตารามภยามฺ นมะ 
พระแม่อื่นๆ โอมฺ อมฺพาไย นมะ 
ฯลฯ 
ในการถวายบูชาต่างๆ ให้ใช้มือขวาเท่านั้น ส่วนการเจิมให้ใช้นิ้วนางขวา 
แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอนนี้ทั้งหมดครับ 
เอาเป็นว่าในแต่ละวันให้ทำแค่ 
ถวายดอกไม้ ธูป อาหารและน้ำ ถ้าสามารถอารตีได้ก็ทำครับ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว 
ที่สำคัญและถือเป้นขั้นสูงสุดของการบูชาคือมานัสบูชา(มานสปูชา) แปลว่าการบูชาด้วยใจ ถือไม่ต้องมีสิ่งภายนอกแต่ให้เอาสิ่งต่างจินตาการไว้ในใจแล้วถวายด้วยความภักดีครับ นั้นคือที่สุดครับ 
สาธุครับ แต่ถ้าในสามารถทำครบทุกขั้นตอนของอุปจาระ ได้จะเหลือ แค่ 5 หรนือสาม ถวายแค่ธูป ประทีป ดอกไม้ อาหาร และการสวดมนตร์ ก็พอครับ โดย นานๆ จึงจะสรงน้ำก็ไม่ผิดครับ 
อ่อ ยังไง มานัสบูชานั้น สำคัญสุดนะครับ 
ที่มา พี่หริทาส 
ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

คเณศจตุรถี วันเกิดพระพิฆเนศ...


คเณศจตุรถี วันเกิดพระพิฆเนศ...
(ขอขอบคุณ : คมชัดลึก)
 

เทศกาลคเณศจตุรถี 
นับเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบูชาพระพิฆเนศ จะกระทำในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9 และวันแรม 4 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็นวันกำเนิดของพระพิฆเนศ เชื่อกันว่าพระองค์จะเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ศรัทธาพระองค์ท่าน เทศกาลนี้มีการจัดพิธีกรรมบูชาและการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วอินเดียและทั่วโลก มีการจัดสร้างเทวรูปพระพิฆเนศขนาดใหญ่โตมโหฬาร เพื่อเข้าพิธีบูชา จากนั้นจะแห่องค์เทวรูปไปทั่วเมืองและมุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายต่างๆ ถนนหนทางทั่วทุกหนแห่งจะมีแต่ผู้คนออกมาชมการแห่องค์เทวรูปนับร้อยนับพันองค์ ผู้ศรัทธาทุกคนแต่งชุดส่าหรีสีสันสวยงาม ขบวนแห่จะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสรัสวตี ฯลฯ แล้วทำพิธีลอยเทวรูปลงสู่แม่น้ำหรือทะเล
เทศกาลคเณศจตุรถีและพิธีกรรมต่างๆ กระทำกันมาแต่โบราณ มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย และหนึ่งในพิธีกรรมที่กระทำกันก็คือ "เอกวีสติ ปัตรบูชา" หรือการบูชาด้วยใบไม้ 21 ชนิดเป็นเวลา 21 วัน (อ่านเรื่องการบูชาด้วยใบไม้ได้จากหน้าแรก)
ในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ.2538 มีเหตุการณ์ที่ฮือฮากันมากที่สุดก็คือ ปรากฏการณ์ที่เทวรูปดื่มนมสดก็ปรากฏขึ้นมาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยซึ่งตรงกับเทศกาลประกอบพิธี คเณศจตุรถี หรือพิธีอุทิศต่อพระคเณศพอดีทำให้ปรากฏการดังกล่าวได้รับความสนใจไปทั่วโลก หนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์เรื่องราวดังกล่าวขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนแตกตื่นพากันไปดูเทวรูปดื่มน้ำนมกันแพร่หลาย

ในวันที่ประกอบพิธีคเณศจตุรถีนั้น ประชาชนทั้งหลายต่างพากันมาทำสักการะบูชารูปเคารพของพระคเณศที่ปั้นด้วยดิน (เผา ) เครื่องบูชาจะประกอบไปด้วยดอกไม้ (โดยเฉพาะดอกไม้สีสดใส เช่น สีแดง, สีเหลือง, สีแสด,) ขนมต้ม, มะพร้าวอ่อน, กล้วย, อ้อย, นมเปรี้ยว,(แบบแขก) ขณะทำการบูชา ผู้บูชาจะท่อง พระนาม 108 ของพระองค์ หลังจากการบูชาแล้วก็จะเชิญพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีมาเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ และมีข้อห้ามในวันพิธีคเณศจตุรถีนี้คือ ห้ามมองพระจันทร์อย่างเด็ดขาด และถือกันว่าถ้าผู้ใดได้มองพระจันทร์ (เห็นพระจันทร์) โดยพลาดพลั้งเผลอเรอไป พวกชาวบ้านก็จะพากันแช่งด่าผู้นั้นทันที่ และที่ชาวบ้านด่านั้น ก็เป็นความหวังดี มิได้ด่าด้วยความโกรธแค้น แต่ด่าเพราะเชื่อกันว่าการด่าการแช่งนั้นจะทำให้คนๆนั้นพ้นจากคำสาปไปได้
ซึ่งความเชื่อนี้ มีเรื่องเล่าที่มาอยู่ 2 เรื่อง...คือสืบเนื่องมาจากการที่พระคเณศพลัดตกจากหลังหนูจนท้องแตก (เพราะหนูตกใจที่มีงูเห่าเลื้อยผ่านหน้า และพระคเณศเสวยขนมต้มมามาก) ขนมต้มทะลักออกมาพระคเณศ ก็รีบเก็บขนมต้มยัดกลับไปในพุง และจับงูเห่าตัวนั้นมารัดพุงขณะเดียวกันพระจันทร์ ก็เผอิญมาเห็นเข้าก็อดขำไม่ได้หัวเราะออกมาดังสนั่นพระคเณศโกรธยิ่งนัก เอางาขว้างไปติดพระจันทร์จนแน่น ทำให้โลกมืดลงทันที่ เพราะไฟดับ (เหมือนราหูอมจันทร์)
พระอินทร์และทวยเทพทั้งหลายทราบเรื่อง ก็ต้องพากันไปอ้อนวอน พระคเณศจึงยอมถอยเอางาออก แต่พระจันทร์ก็ต้องได้รับโทษอยู่คือ จะต้องเว้าๆแหว่งๆเป็นเสี้ยวๆไม่เต็มดวงทุกคืน จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ จึงจะเต็มดวง
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าพระคเณศสาปคนที่มองดูพระจันทร์ในวันที่บูชาพระองค์คือ หากใครมองดูพระจันทร์ในวันนี้ ผู้นั้นก็จะต้องกลายเป็นคนจัณฑาล และคนจัณฑาลในสังคมอินเดียจะเป็นที่รังเกียจของคนวรรณะอื่นๆทุกๆวรรณะ (เพราะถือว่าคนจัณฑาล ไม่มีชนชั้น เป็นชนชั้นต่ำ ) ดังนั้นคำสาปให้เป็นจัณฑาลจึงเป็นโทษร้ายแรงยิ่งนัก

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความสุข ของการปล่อยวาง

ทุกคนอากมองว่าการปล่อยวางนันทำได้อยาก แต่ถ้าได้ลองทำจริงๆๆแล้วมันไม่อยากอย่างที่คิดเลย
พระศิวะเคยกล่าวไว้ว่า  มนุษย์ทุกวันนี้เป็นทุกเพราะไม่รู้จัก ปล่อยว่า พ่อศิวะสอนไว้ว่า ถ้าเหตุเแห่งทุกเกิดที่ไหน ให้กลับไป พิจณาตรงเหตุนันแล้ว แยกเหตุการออกเป็นส่วนๆ  เช่น  ถ้าเราถูกว่ากล่าวใน การทำงานของเรา   ให้คิดว่า งานที่เราทำนันดีหรือปล่าว   และตรงกับที่ได้รับคำสั่งไหม  ถ้าเราคิดว่าดีแล้วเราจงกลับไปคิด อีกที่ ว่า  ผิดที่ตรงไหนจะได้แก้ไข    ในกรณีที่ ไม่มีความเป็นธรรม เช่น ถูกลำเอียงจากการตัดสิน  ให้เรา คิด ว่า ไม่เป็น ไร นี้ คือ บทเรียน ถึงเราจะถูกแต่เราไม่สามารทำอะไรได้  จงอย่าโกรด ให้ คิด ในทาง ที่ดี แล้ว จงทำให้ผูตัดสินเห็น ว่าเราทำได้จริงๆ

ตัวอย่างนี้ จะเห็น ได้ ว่า   พ่อ  สอน ให้เรามอง ที่ตัวเราเองก่อน  ถึง  จะ ไป พิจรณาใน ตัว ผู้อืนเพราะว่า เรา ไม่ สามารถเปลียนความรู้สึกของคนอืนได้     และ คิด ในทางที่บวก ไม่ เอาความ โกรด หรือ โมโหมาคิดเพื่อให้ใจเราเป็น สุข  ปล่อยวางกับ สิ่ง ที่ ทำให้เรา ทุก ใจ รู้และเข้าใจกับ ความ ทุก

คำสอนพระศิวะเทพ    


วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตัวเราเท่านันที่เป็นคนกำหนด

มีคนบอกว่า ความทุกนัน  มาจากสิ่งรอบข้างตัวเรา  แต่ผมว่าความทุกนันมาจากตัวเราเองทังนันเพราะอะไรนั้นหรอ  ทุกเกิดจากจิตที่ยึดติดกับสิ่งที่ ทำให้เกิด ทุก  ถ้าเรารู้จักปล่อยวาง เราก็จะ ดับทุกได้

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เส้นชัยกับความคิด

 มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้าเราหยุดวิ่งก็จะใช้เวลามากขึ้นกว่าจะถึงเส้นชัย ผมก็ถามเค้ากลับไป ว่าแล้วถ้าผมเป็นคนที่วิ่งไม่เก่งเหมือน นัก วิ่งละครับวิ่งไป ซักพักก็เหนื่อยแล้วหยุดพัก ซักนิดหนึ่งคงไม่เป็นไรมั่ง
       
เค้าตอบผมว่า ก็เท่าที่ผมเห็นคุณวิ่งตั่งแต่ออกตัวคุณใช้แรงทั้งหมดในการออกตัววิ่ง ไม่ได้ออมแรงไว้เลย มันก็หมดเร็วละซิครับ  คุณดูคนที่วิ่งเป็น ซิครับเค้ารู้ถึงกำลังของเค้าเองเค้า จึงวิ่งและใช้แรงเท่าๆกันตลอดการวิ่ง เค้าถึงวิ่งสู่เส้นชัยก่อนคุณละตามเวลาที่เค้าคาดไว้ แต่สำรับคุณแล้วผมว่า  คุณได้วิ่งออกมาแล้วฉนันมันไม่สามารย้อนเวลากลับไป เริ่มต้นได้ แต่ถ้าคุณเปลียนจาก การหยุดพักเป็นค่อยๆเดินละจะใช้เวลาน้อยกว่าหยุดเดินใช่มะเวลาจะได้ไม่เสียปล่าวอีกด้วย   
 
ผมกลับมาคิด  มันก็จริงอย่างที่เค้าพูด แล้วอีกอย่างถ้าผมไม่ได้คุยกับเค้าผมคงใช้วิธีวิ่งแล้วหยุดพักเหมือนเดิม

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สิ่งที่เห็นอยู่แต่ไม่ยอมรับ

ทุกคนต่างรู้ว่าตนทำอะไรอยู่ จะดีหรือไม่ดีตัดสินที่ตรงไหน  การกระทำทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของผู้กระทำ  แต่การกระทำนี้จะถูกใจคนตัดสินหรือไม่  มีไม่กี่คนที่มองความถูกต้องใช้ในการตัดสิน ที่เหลือ นัน เป็นความชอบส่วนตัวทั้งนั้น    เอาเป็นว่าทุกคนทำอะไรล้วนมีเหตุผลของมัน  แต่มันก็ไม่ถูกเสมอไป